รีวิว All-new Honda CR-V e:HEV (Gen 6) ใหม่ นี่คือ “ซีอาร์-วี” ที่น่าใช้ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ทดลองขับ All-new Honda CR-V e:HEV ขุมพลังไฮบริด 2.0 ลิตร ที่นอกจากจะมีรูปลักษณ์หน้าตาหรูหราสมการรอคอยแล้ว
ในด้านสมรรถนะการขับขี่ก็ยิ่งดีงามมากขึ้นไปอีก จนอาจกล่าวได้ว่านี่คือ “ซีอาร์-วี”
ที่ควรค่าแก่การควักเงินในกระเป๋ามากที่สุดเลยก็ว่าได้!
ประเทศไทยเราถือเป็นประเทศกลุ่มแรกๆ ของโลกที่มีการเปิดตัวและวางจำหน่าย ฮอนด้า ซีอาร์-วี เจเนอเรชันที่ 6 ใหม่
โดยอาศัยพื้นที่ภายในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2023
เพื่อใช้ในการเปิดเผยรายละเอียดของรถรุ่นนี้ โดยมีให้เลือกทั้งหมด 5 รุ่นย่อย พร้อมราคาจำหน่าย ได้แก่
เครื่องยนต์ฟูลไฮบริด e:HEV 2.0
รุ่น e:HEV RS 4WD (5 ที่นั่ง) ราคา 1,729,000 บาท
รุ่น e:HEV ES (5 ที่นั่ง) ราคา 1,589,000 บาท
เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 VTEC TURBO
รุ่น EL 4WD (7 ที่นั่ง) ราคา 1,649,000 บาท
รุ่น ES 4WD (5 ที่นั่ง) ราคา 1,599,000 บาท
รุ่น E (5 ที่นั่ง) ราคา 1,419,000 บาท
การเปิดตัวดังกล่าวสร้างเสียงฮือฮาจากเหล่าบรรดาสื่อมวลชนสายรถยนต์ได้เป็นอย่างมาก เพราะย้อนกลับไปในช่วงการเปิดตัว
Honda BR-V และ Honda WR-V โฉมใหม่ สื่อหลายคน (รวมถึงตัวผู้เขียนเอง) ก็แอบอึ้งกับการตั้งราคาจำหน่ายที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับบรรดาคู่แข่งทั้งหลายในตลาด
จนไม่แปลกใจว่าทำไมจึงเห็นปริมาณของรถทั้งสองรุ่นวิ่งอยู่บนท้องถนนน้อยเหลือเกิน
แต่สำหรับ Honda CR-V ใหม่ กลับกดราคาจำหน่ายตัวท็อปให้ถูกลงกว่ารุ่นเดิม (รุ่น 1.6 i-DTEC EL ราคาจำหน่าย 1,759,000 บาท ก่อนจะถูกถอดออกจากไลน์อัปเมื่อช่วงกลางปี 2565)
แถมยังได้เทคโนโลยีฟูลไฮบริด e:HEV ที่ทันสมัยกว่า จนสามารถทำยอดจองทะลุ 2,000 คัน ภายในช่วงระยะเวลาเพียง 7 วันแรกหลังการเปิดตัว
แถมยอดจองกว่า 80% ยังเทไปที่รุ่นไฮบริดอีกต่างหาก ขณะที่เป้าจำหน่ายที่ฮอนด้าวางไว้อยู่ที่ 12,000 คันต่อปี หรือประมาณ 1 พันคันต่อเดือน ซึ่งก็ถือว่าทะลุเป้าเป็นที่เรียบร้อย
ภายนอก
สำหรับ Honda CR-V ที่เราทดสอบในครั้งนี้เป็นตัวท็อปสุดเรียกว่า e:HEV RS 4WD แบบ 5 ที่นั่ง ซึ่งเป็นรุ่นย่อยเดียวที่มีการตกแต่งภายนอกด้วยชุดแต่ง RS ที่เน้นความสปอร์ตมากกว่ารุ่นปกติ
ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าดีไซน์เฉพาะรุ่นประดับด้วยสัญลักษณ์ RS, กระจกมองข้างสีดำ Piano Black, คิ้วตกแต่งประตูข้างสีดำ Gloss Black,
สปอยเลอร์หลังและเสาอากาศครีบฉลามสีดำ Piano Black, ล้ออัลลอยลาย 5 ก้านคู่ขนาด 19 นิ้ว และอื่นๆ
ในด้านรูปลักษณ์ภายนอกถูกออกแบบให้มีเส้นสายที่ดูเฉียบคม เรียบหรู ดูมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น โดยทีมออกแบบต้องการให้ Honda CR-V
เป็นรถยนต์ที่สะท้อนถึงภาพลักษณ์ที่ดีของเจ้าของรถ และสร้างความภาคภูมิใจในการบอกกับเพื่อนฝูงว่า “ฉันขับซีอาร์-วีนะ” แม้ว่างานดีไซน์ไฟท้ายรูปตัว L
จะชวนให้นึกถึง Volvo XC60 รุ่นปัจจุบัน ผสมเข้ากับไฟท้ายของ Suzuki Ertiga ก็ตามที แต่ส่วนตัวผู้เขียนมองว่ามันดูสวยลงตัวกว่ารุ่นที่แล้วพอสมควรทีเดียว
ภายใน
สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ฟูลไฮบริด e:HEV ทั้ง 2 รุ่นย่อย จะมีเฉพาะห้องโดยสารแบบ 5 ที่นั่งเท่านั้น มาพร้อมงานออกแบบแผงคอนโซลที่ชวนให้นึกถึงซีวิครุ่นปัจจุบัน
โดยเฉพาะการตกแต่งด้วยตะแกรงทรงรังผึ้งที่ซ่อนช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหน้าเอาไว้ภายใน ถือเป็นความพยายามของฮอนด้าที่จะสร้างความ “มินิมอล” ให้กับห้องโดยสารไว้มากที่สุด
แต่ยังคงไว้ซึ่งความหรูหราอย่างที่ลูกค้าคาดหวังกับรถราคาระดับนี้ เช่น การตกแต่งปุ่มควบคุมแอร์ด้วยสีเงินที่เพิ่มดีเทลด้วยการกัดลาย
และสัมผัสที่ได้จากการกดปุ่มควบคุมต่างๆ ที่ทำให้รู้สึกว่ารถรุ่นนี้ขยับเข้าใกล้ความเป็นพรีเมียมมากขึ้น
ภายใต้งานออกแบบที่ดูเรียบง่ายกลับพบว่า Honda CR-V รุ่น e:HEV RS 4WD ได้อัดแน่นอุปกรณ์มาตรฐานเพื่อความสะดวกในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่งผู้ขับขี่ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง
พร้อมระบบดันหลังไฟฟ้า เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง เบาะนั่งด้านหลังที่สามารถปรับเลื่อนและแยกพับแบบ 60:40 ได้
อีกทั้งยังมีระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งผู้ขับขี่ 2 ตำแหน่ง (Driver Memory Seat) มาให้ด้วย
ในรุ่น e:HEV RS 4WD ถูกติดตั้งระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวาแบบ i-Dual Zone พร้อมระบบฟอกอากาศ Plasmacluster
และช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง (รุ่น 7 ที่นั่ง จะเพิ่มช่องแอร์บริเวณเหนือเพดานสำหรับผู้โดยสารแถวที่ 3 มาให้) เสริมด้วยไฟอ่านหนังสือแบบสัมผัสสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
และติดตั้งไฟตกแต่ง Ambient Light มาให้เป็นครั้งแรกในรุ่นซีอาร์-วี
มาที่เรื่องของหน้าจอทั้งหลายพบว่ารุ่นท็อปสุดจะมาพร้อมหน้าจออินโฟเทนเมนท์แบบสัมผัส Advanced Touch ขนาด 9 นิ้ว
สามารถเชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สาย หรือ Android Auto ผ่านสาย USB ได้ อีกทั้งรุ่น e:HEV RS 4WD ยังเป็นรุ่นเดียวที่ถูกเพิ่มเติมด้วยระบบนำทาง Navigator,
เครื่องเสียง BOSE ลำโพง 12 ตำแหน่ง และจอแสดงข้อมูลบนกระจกหน้า (Head-Up Display: HUD) นอกเหนือไปจากจอแสดงข้อมูลการขับขี่ TFT ขนาด 10.2 นิ้ว
นอกจากนี้ยังมีที่ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) สำหรับชาร์จสมาร์ทโฟน และช่องจ่ายไฟแบบ USB มาให้ถึง 4 ช่องด้วยกัน
โดยเป็นช่อง USB-A และ USB-C อย่างละ 1 ตำแหน่งสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง และ USB-C อีก 2 ตำแหน่งสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
ระบบเชื่อมต่อ Honda CONNECT ที่ติดตั้งมาให้ใน ซีอาร์-วี ใหม่ ถิือเป็นเวอร์ชันล่าสุดที่นอกจากจะสามารถตรวจสอบสถานะของตัวรถได้อย่างเรียลไทม์แล้วนั้น
ยังมีฟังก์ชัน Remote Vehicle Control ที่สามารถสั่งล็อกและปลดล็อกประตูทั้งหมด รวมถึงการสั่งสตาร์ทเครื่องยนต์และปรับตั้งค่าอุณหภูมิภายในห้องโดยสารจากระยะไกลได้
ถือเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่เหมาะสำหรับคนยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ Honda CR-V ใหม่ ยังมาพร้อมระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง (Multi-view Camera System: MCVS) ทำงานคู่กับเซ็นเซอร์กะระยะหน้า-หลัง
แต่ถึงกระนั้นฮอนด้าก็ยังคงเลือกใช้ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน Honda LaneWatch แทนที่จะใช้เซ็นเซอร์บริเวณกันชนท้ายเหมือนกับรถยี่ห้ออื่นอยู่ดี
ซึ่งแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่สามารถมองเห็นทัศนวิสัยด้านซ้ายบนหน้าจอได้อย่างเต็มที่ แต่การที่หน้าจอกลางจะถูกสลับไปเป็นกล้องทุกครั้งที่เปิดไฟเลี้ยว ก็เป็นเรื่องที่น่ารำคาญไม่ใช่น้อยเช่นกัน
Honda CR-V ใหม่ มาพร้อมระบบความปลอดภัยขั้นสูง Honda SENSING ทุกรุ่นย่อย โดยจะทำงานผ่านกล้องด้านหน้า (บริเวณกระจกบังลมหน้า)
และเรดาร์เซ็นเซอร์ เพื่อตรวจจับรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และคนเดินถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วยฟังก์ชันการทำงานหลักๆ ได้แก่
• ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
• ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
• ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning : RDM with LDW)
• ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF)
• ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)
• ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN)
โดยรุ่น e:HEV RS 4WD จะเป็นรุ่นเดียวที่มีฟังก์ชัน Adaptive Driving Beam หรือ ADB ซึ่งจะปรับการทำงานของไฟสูง-ต่ำ แยกอิสระซ้าย-ขวาโดยอัตโนมัติเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ขับขี่ได้
ขณะที่ระบบความปลอดภัยอื่นๆ ก็มีให้อย่างพร้อมสรรพ เช่น ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA), ระบบเบรก ABS/EBD,
ระบบเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ (AHA), สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS), ระบบแจ้งเตือนแรงดันลมยาง (TPMS),
ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock), ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ถุงลมนิรภัยด้านข้างคู่หน้า, ม่านถุงลมนิรภัย และถุงลมนิรภัยหัวเข่าคู่หน้า เป็นต้น
เครื่องยนต์
ในรุ่นเครื่องยนต์ฟูลไฮบริด e:HEV ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์ 4 สูบ 2.0 ลิตร Direct Injection Atkinson-Cycle และมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว
ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า (มอเตอร์ไฟฟ้า) แรงบิดสูงสุด 335 นิวตัน-เมตร (มอเตอร์ไฟฟ้า) ส่งกำลังด้วยเกียร์ E-CVT มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 20.8 กม./ลิตร
พร้อมปุ่มเลือกโหมดการขับขี่ Drive Mode Switch ปรับได้ 3 โหมด (Sport / Normal / ECON)
ขณะที่รุ่นเครื่องยนต์เทอร์โบ จะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.5 ลิตร VTEC TURBO DOHC Direct Injection ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตร
ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 14.3 กม./ลิตร และรองรับน้ำมันทางเลือก E85 ได้
การขับขี่
ด้านสมรรถนะของเครื่องยนต์ไฮบริด e:HEV 2.0 ลิตร ยอมรับว่าสามารถทำอัตราเร่งได้ดีเกินคาดไปมาก ด้วยแรงบิดของมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุดถึง 335 นิวตัน-เมตร
ส่งผลให้การเร่งความเร็วจากจุดหยุดนิ่งทำได้อย่างรวดเร็วทันใจ จนแทบจะลืมไปว่ากำลังขับรถ C-SUV ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ใส่ล้อขนาด 19 นิ้วอยู่ แม้ว่าจะเป็นช่วงขึ้นเนินชัน
เครื่องยนต์ก็ยังสามารถตอบสนองได้อย่างยอดเยี่ยมตามน้ำหนักเท้าที่กดลงบนแป้นคันเร่ง